วันอาทิตย์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ทรัพย์สินทางปัญญา

ทรัพย์สินทางปัญญา

          ทรัพย์สินทางปัญญา หมายถึง ผลงานอันเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ ทรัพย์สินทางปัญญาเป็นทรัพย์สินอีกชนิดหนึ่ง นอกเหนือจากสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น นาฬิกา รถยนต์ โต๊ะ เป็นต้น และอสังหาริมทรัพย์ คือ ทรัพย์สินที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ เช่น บ้าน ที่ดิน เป็นต้น

ประเภทของทรัพย์สินทางปัญญา โดยทั่วๆ ไป คนไทยส่วนมากจะคุ้นเคยกับคำว่า "ลิขสิทธิ์" ซึ่งใช้เรียกทรัพย์สินทางปัญญาทุกประเภท โดยที่ถูกต้องแล้วทรัพย์สินทางปัญญาแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ที่เรียกว่า ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม และลิขสิทธิ์
      ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม ไม่ใช่สังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้ในการผลิตสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม แท้ที่จริงแล้ว ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรมนี้ เป็นความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่เกี่ยวกับสินค้าอุตสาหกรรม ความคิดสร้างสรรค์นี้จะเป็นความคิดในการประดิษฐ์คิดค้น การออกแบบผลิตภัณฑ์ทางอุตสาหกรรม ซึ่งอาจจะเป็นกระบวนการ หรือเทคนิคในการผลิตที่ได้ปรับปรุงหรือคิดค้นขึ้นใหม่ หรือที่เกี่ยวข้องกับตัวสินค้า หรือผลิตภัณฑ์ที่เป็นองค์ประกอบและรูปร่างสวยงามของตัวผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ยังรวมถึงเครื่องหมายการค้าหรือยี่ห้อ ซื่อและถิ่นที่อยู่ทางการค้า ที่รวมถึงแหล่งกำเนิดสินค้าและการป้องกันการแข่งขันทางการค้าที่ไม่เป็นธรรม ทรัพย์สินทางอุตสาหกรรม จึงสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
  • สิทธิบัตร (Patent)
  • เครื่องหมายการค้า (Trademark)
  • แบบผังภูมิของวงจรรวม (Layout - Designs Of Integrated Circuit)
  • ความลับทางการค้า (Trade Secrets)
  • สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (Geographical Indication)
ประเภททรัพย์สินทางปัญญา
     ลิขสิทธิ์ หมายถึง งานหรือความคิดสร้างสรรค์ในสาขาวรรณกรรม ศิลปกรรม ดนตรีกรรม งานภาพยนต์ หรืองานอื่นใดในแผนกวิทยาศาสตร์ลิขสิทธิ์ยังรวมทั้ง
  • สิทธิค้างเคียง (Neighbouring Right) คือ การนำเอางานด้านลิขสิทธิ์ออกแสดง เช่น นักแสดง ผู้บันทึกเสียงและสถานีวิทยุโทรทัศน์ในการบันทึกหรือถ่ายทอดเสียงหรือภาพ
  • โปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Computer Program หรือ Computer Software) คือ ชุดคำสั่งที่ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เพื่อกำหนดให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงาน
  • งานฐานข้อมูล (Data Base) คือ ข้อมูลที่ได้รับเก็บรวบรวมขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ
     สิทธิบัตร หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ (Invention) การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) หรือ ผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์ (Utility Model) ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด
     การประดิษฐ์ คือ ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับ ลักษณะองค์ประกอบ โครงสร้างหรือกลไกลของผลิตภัณฑ์ รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิตการักษา หรือปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์
     การออกแบบผลิตภัณฑ์ คือ ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับการทำให้รูปร่างลักษณะภายนอกของผลิตภัณฑ์เกิดความสวยงาม และแตกต่างไปจากเดิม
     ผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อนุสิทธิบัตร (Petty Patent) จะมีลักษณะคล้ายกันกับการประดิษฐ์ แต่เป็นความคิดสร้างสรรค์ที่มีระดับการพัฒนาเทคโนโลยีไม่สูงมาก หรือเป็นการประดิษฐ์คิดค้นเพียงเล็กน้อย
     แบบผังภูมิของวงจรรวม หมายถึง แผนผังหรือแบบที่ทำขึ้น เพื่อแสดงถึงการจัดวางและการเชื่อมต่อวงจรไฟฟ้า เช่น ตัวนำไฟฟ้า หรือตัวต้านทาน เป็นต้น
     เครื่องหมายการค้า หมายถึง เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์หรือตราที่ใช้กับสินค้า หรือบริการ ได้แก่
  • เครื่องหมายการค้า (Trade Mark) คือเครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายเกี่ยวข้องกับสินค้าเพื่อแสดงว่าสินค้าที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับสินค้าที่ใช้เครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น เช่น โค้ก เป๊ปซี่ บรีส แฟ้บ เป็นต้น
  • เครื่องหมายบริการ (Service Mark) คือ เครื่องหมายที่ใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับการบริการ เพื่อแสดงว่าบริการที่ใช้เครื่องหมายนั้นแตกต่างกับบริการที่ใช้เครื่องหมายบริการของบุคคลอื่น เช่น เครื่องหมายของสายการบิน ธนาคาร โรงแรม เป็นต้น
  • เครื่องหมายรับรอง (Certification mark) คือเครื่องหมายที่เจ้าของเครื่องหมายรับรองใช้เป็นที่หมายหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการของบุคคลอื่น เพื่อเป็นการรับรองคุณภาพของสินค้า หรือบริการนั้น เช่น เชลล์ชวนชิม แม่ช้อยนางรำ เป็นต้น
  • เครื่องหมายร่วม (Collective Mark) คือ เครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมาบบริการที่ใช้โดยบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจในกลุ่มเดียวกัน หรือโดยสมาชิกของสมาคม กลุ่มบุคคล หรือองค์กรอื่นใดของรัฐหรือเอกชน เช่น ตราช้างของบริษัทปูนซิเมนไทย จำกัด เป็นต้น
     ความลับทางการค้า หมายถึง ข้อมูลการค้าที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และมีมูลค่าในเชิงพาณิชย์เนื่องจากข้อมูลนั้นเป็นความลับ และมีการดำเนินการตามความสมควรเพื่อรักษาข้อมูลนั้นไว้เป็นความลับ
     ชื่อทางการค้า หมาถึง ชื่อที่ใช้ในการประกอบกิจการ เช่น โกดัก ฟูจิ เป็นต้น
     สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียกหรือใช้แทน แทนแหล่งภูมิศาสตร์ และสามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์นั้น เช่น มีดอรัญญิก ส้มบางมด ผ้าไหมไทย แชมเปญ คอนยัค เป็นต้น
ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์
     ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 "ลิขสิทธิ์ ​หมายความว่า สิทธิแต่ผู้เดียวที่จะทำการใด ๆ ตามพระราชบัญญัตินี้เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น"  ดังนั้นการใช้ซอฟต์แวร์ที่ผู้อื่นสร้างขึ้นจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้สร้าง โดยใบอนุญาต (license) นี้เป็นสัญญาระหว่างผู้สร้างกับผู้ใช้ซอฟต์แวร์ ใบอนุญาตเป็นการให้สิทธิผู้ใช้ในการใช้ซอฟต์แวร์ได้โดยไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งผลก็คือใบอนุญาตทำหน้าที่เหมือนคำสัญญาว่าผู้สร้างจะไม่ฟ้องร้องผู้ใช้ในการใช้ซอฟต์แวร์ซึ่งถือเป็นสิทธิของผู้สร้างแต่เพียงผู้เดียว
     ใบอนุญาตนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายประเภท โดย Free Software Foundationได้แบ่งใบอนุญาตด้วยคำถาม 3 คำถามคือ
  1. ใบอนุญาตนั้นมีคุณสมบัติเป็นใบอนุญาตซอฟต์แวร์เสรี (free software license) หรือไม่
  2. ใบอนุญาตนั้นเป็นใบอนุญาตแบบ copyleft หรือไม่
  3. ใบอนุญาตนั้นเข้ากันได้กับใบอนุญาต GPL หรือไม่
รู้หรือไม่
  • ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ ถือเป็นงานวรรณกรรม คือ งานนิพนธ์ที่ทำขึ้น ได้รับการคุ้มครองแบบลิขสิทธิ์เท่านั้น ไม่สามารถนำไปขอจดสิทธิบัตร
  • ผลงานประเภทที่สามารถจดสิทธิบัตร (Patent) ได้ คือ สิ่งประดิษฐ์ (ยกตัวอย่างสิทธิบัตรที่นักศึกษาสืบค้นส่งอาจารย์) และออกแบบผลิตภัณฑ์ (เช่น การออกแบบสี ลวดลาย รูปร่าง ของสิ่งของ เครื่องใช้ ที่มีคุณค่าในเชิงเศรษฐกิจ
  • ในกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาระหว่างกัน เมื่อลูกจ้างทำการเขียนซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ขึ้น ซอฟต์แวร์นั้นย่อมเป็นลิขสิทธิ์ของลูกจ้าง แต่บริษัทสามารถนำซอฟต์แวร์ออกเผยแพร่ หรือจำหน่ายได้ ตามวัตถุประสงค์ของการจ้างงานนั้น
  • หากเจ้าของขายลิขสิทธิ์ให้ผู้อื่นแล้ว ก็ยังสามารถแสดงตนว่าเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานลิขสิทธิ์นั้นได้
  • เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกจ้างของบริษัทนำซอฟต์แวร์หรือผลงานลิขสิทธิ์ที่คิดขึ้นขณะที่เป็นลูกจ้างของเราออกไปหาผลประโยชน์ บริษัทจะต้องให้ลูกจ้างเซ็นสัญญษยกลิขสิทธิ์ในผลงานทุกอย่าง ที่ทำขึ้นขณะเป็นลูกจ้างของเราให้แก่บริษัท
  • หากบริษัทคู่แข่งสร้างซอฟต์แวร์ที่มีวิธีการทำงานเหมือนกับซอฟต์แวร์ที่บริษัทเราสร้างขึ้นมาก่อน บริษํทคู่แข่งไม่ได้ละเมิดลิขสิทธิ์ของเรา เพราะ สิ่งที่ไม่ใช่งานลิขสิทธิ์ เช่น ความคิด ขั้นตอน กรรมวิธี ระบบ หลักการ วิธีใชหรือทำงาน ทฤษฎี แนวความคิด การค้นพบ ข่าวประจำวัน เป็นต้น
  • ถ้าถูกจับได้ว่าละเมิดลิขสิทธิ์ต้องเสียค่าละเมิดลิขสิทธิ์ให้กับเจ้าของลิขสิทธิ์
  • เมื่อพัฒนาซอฟต์วร์หรือเว็บไซต์เสร็จ จะได้รับการคุ้มครองทันที โดยไม่ต้องไปทำการจดทะเบียนกับกราทรัพย์สินทางปัญญา แต่เราสามารถไปจดแจ้งลิขสิทธิ์ไว้ได้ เพื่อเป็นการแจ้งให้ผู้อื่นรับทราบ
  • การดัดแปลงซอฟต์แวร์ โดยได้รับอนุญาตถือว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
  • หากมีผู้มาทำการดัดแปลง คัดลอกซอฟต์แวร์ของบริษัท ทางบริษัทสามารถเอาผิดกับบุคคลเหล่านั้นได้โดยการดำเนินคดีตามกฎหมายได้ทันที แต่บางครั้ง อาจเจรจายอมความได้ หรือเรียกเก็บค่าลิขสิทธิ์ก็ได้
  • บทลงโทษเกี่ยวกับการละเมิดลิขสิทธิ์ คือ การละเมิดลิขสิทธิ์โดยตรง เช่น ทำซ้ำ ดัดแปลง : มีโทษปรับ 20,000 - 200,000 บาท หากทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุก 6 เดือน ถึง 4 ปี หรือปรับ 100,000 - 800,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ การละเมิดลิขสิทธิ์โดยอ้อม (สนับสนุนให้เกิดการละเมิด) : มีโทษปรับ 10,000 - 100,000 บาท หากทำเพื่อการค้า มีโทษจำคุก 3 เดือน ถึง 2 ปี หรือ 50,000 -  400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • หากเป็น บุคคลธรรมดา ผลงานลิขสิทธิ์จะได้รับการคุ้มครองตลอดชีวิตผู้สร้างสรรค์ + 50 ปี  หากเป็น นามแฝง/นิติบุคคล จะได้รับการคุ้มครอง 50  ปี นับแต่สร้างสรรค์
  • หากผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตลงสิทธิในการครอบครองลิขสิทธิ์นั้นจะตกแก่ทายาท(ในระยะเวลาไม่เกิน 50 ปี)
  • งานที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพราะอายุแห่งการคุ้มครองสิ้นสุดลง หากนำมารวบรวม ผู้ทำการรวบรวมสามารถเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์นั้นได้
  • ข่าวประจำวันและข้อเท็จจริงต่างๆที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสารเมื่อนำไปเผยแพร่ต่อ ถือว่าไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
  • ถ้ามีผู้ว่าจ้างให้พัฒนาซอฟต์แวร์ โดยมีสัญญาว่าจ้าง ผลลงานที่ได้เป็นของผู้ว่าจ้าง ผู้ถูกว่าจ้างนำไปขายต่อให้แก่องค์กรอื่นไม่ได้
  • เมื่อเจ้าของลิขสิทธิ์เสียชีวิตลง จะได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นต่อไปอีก 50 ปี หลังจากเสียชีวิต
  • การติชมหรือวิจารณ์ผลงานที่มีลิขสิทธิ์ ถือว่าไม่ละเมิดลิขสิทธิ์
  • เมื่อซื้อซอฟต์แวร์ หากทำซ้ำ เพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหาย(Back up) ไม่ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์
(Cr. : http://www.blognone.com/node/10891)

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

การใช้อินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย



วิดีโอการ์ตูนการใช้อินเตอร์เน็ตอย่างปลอดภัย

(Cr. http://youtu.be/UbdZ8iw5_Ts )

ทันภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต

ทันภัยในการใช้อินเตอร์เน็ต

การใช้อีเมล์อย่างปลอดภัย

            อีเมล์ เป็นรูปแบบการสื่อสารที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ผู้ใช้งานส่วนใหญ่ใช้อีเมล์เพื่อการส่งข้อมูลสำคัญที่ไม่อยากให้บุคคลอื่นล่วงรู้ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ผู้ใช้งานอีเมล์ควรทราบนั่นก็คืออีเมล์ไม่ได้เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารที่ปลอดภัย ดังนั้นผู้ใช้งานจึงควรศึกษาวิธีการต่างๆที่เป็นที่นิยมใช้ในการหลอกลวงผ่านทางอีเมล์และหนทางแก้ปัญหาเพื่อปกป้องอีเมล์ของตนเองต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อตนเองและทรัพย์สินขึ้นในอนาคต ยกตัวอย่างเช่น ไม่เปิดไฟล์ที่แนบมากับอีเมล์ที่ผู้ใช้ไม่รู้จักผู้ส่ง ไม่หลงเชื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวหรือรหัสบัตรเครดิตบนอีเมล์ปลอม ไม่เขียนข้อความสำคัญลงบนอีเมล์เพราะอาจถูกผู้ไม่หวังดีดักจับหรือแอบอ่านระหว่างทางได้ เป็นต้น
การใช้อีเมล์อย่างปลอดภัย

          อีเมล์ เป็นรูปแบบการสื่อสารที่เก่าแก่ที่สุดบนอินเทอร์เน็ต ด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลาย ทั้งติดต่อสื่อสาร หรือการส่งข้อความแบบส่วนตัว การส่งไฟล์ การประกาศหรือประชาสัมพันธ์ทางธุรกิจ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อีเมล์ไม่ได้เป็นรูปแบบการติดต่อสื่อสารที่ปลอดภัย โดยด้านล่างคือคำแนะนำต่างๆในการปกป้องอีเมล์ของผู้ใช้งานต่อภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น

สแปมเมล์ (Spam Mail)
          สแปมเมล์ (Spam Mail) หรืออีเมล์ขยะ (Junk mail) คือ อีเมล์ที่ถูกส่งมาถึงผู้รับโดยที่ไม่ได้รับการยินยอมจากผู้รับและมักไม่ปรากฏชื่อที่อยู่ของผู้ส่ง อีเมล์ขยะส่วนใหญ่จะเป็นโฆษณาของสินค้าหรือบริการ หรือลิงค์ที่จะพาผู้รับไปยังเว็บไซต์ต่างๆที่ผู้ส่งต้องการ ทำให้ผู้รับได้รับความเดือดร้อนและเกิดความรำคาญ อีกทั้งยังเสียเวลาในการนั่งลบอีเมล์เหล่านี้ออกจากกล่องข้อความอีกด้วย สแปมเมล์นั้นมีอยู่หลายประเภทด้วยกัน แต่มักจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน นั่นคือการก่อกวนและสร้างความเดือดร้อนรำคาญให้แก่ผู้ใช้งานอีเมล์คนอื่นๆ ตัวอย่างเช่น
    Chain mail คือ อีเมล์ที่มีข้อความภายในเหมือนกับจดหมายลูกโซ่ เนื้อความที่ส่งมาอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรก็ได้ แต่จะลงท้ายว่าให้ผู้รับส่งต่ออีเมล์นี้ไปยังคนรู้จักคนอื่นๆ
     Bomb mail คือ อีเมล์ก่อกวนรูปแบบหนึ่ง โดยผู้ส่งจะทำการส่งอีเมล์จำนวนมากไปยังผู้รับ เพื่อให้ผู้รับเกิดความเดือดร้อนรำคาญ
     Hoax mail คือ อีเมล์ก่อกวนในอีกรูปแบบหนึ่ง โดยอีเมล์เหล่านี้จะมาในรูปแบบของการส่งอีเมล์ที่มีข้อความหลอกลวงหรือเป็นข่าวลวงต่อๆกันไปผ่านทางโปรแกรมรับส่งข้อความหรือในห้องสนทนาต่างๆ
วิธีกำจัดหรือหลีกเลี่ยงสแปมเมล์นั้น สามารถทำได้ง่ายๆดังนี้
1. สังเกตสิ่งผิดปกติจากอีเมล์ที่ได้รับ เช่น ช่วงเวลาที่อีเมล์ถูกส่งมามักจะอยู่ในช่วงเที่ยงคืนถึงตีสี่  และขนาดไฟล์อีเมล์จะมีขนาดเล็ก ข้อความในอีเมล์มีเพียงประโยคสั้นๆ พร้อมแนบลิงค์มาด้วย เป็นต้น
2. หยุดโพสต์อีเมล์แอดเดรสบนเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ดต่างๆ เพราะพวกที่ส่งสแปมเมล์มักจะใช้สคริปต์หรือโรบอท (Robot) สแกนเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อหาอีเมล์แอดเดรส หรืออาจเป็นเว็บบริการดาวน์โหลดฟรีเมื่อกรอกข้อมูลลงลงทะเบียน
3. ใช้อีเมล์แอดเดรสอื่นๆแยกจากอีเมล์หลัก เพื่อคัดกรองและกำจัดสแปม เช่น อีเมล์สำหรับรับข้อความจากเพื่อน สถาบันการเงิน และเว็บบันเทิงต่างๆ จากนั้นตั้งค่าฟอเวิร์ดบัญชีอีเมล์เหล่านี้ไปยังอีเมล์หลัก เมื่อใดที่มีสแปมเมล์ส่งมา ก็สามารถตรวจสอบได้ว่าสแปมเมล์นั้นถูกส่งมาจากบัญชีอีเมล์ใด และสามารถลบบัญชีนั้นทิ้งไปได้
 
อีเมล์ที่ไม่มีการยืนยันผู้ส่ง
          ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่ทันได้ตระหนักว่ามีผู้คนส่วนหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตได้ทำการปลอมแปลงอีเมล์อย่างง่ายดายโดยการเปลี่ยนโปรไฟล์ระบุตัวตนในอีเมล์ของพวกเขา ซึ่งทำให้ใครก็ตามที่ส่งอีเมล์มาหาคุณ สามารถหลอกลวงว่าตนเองเป็นอีกบุคคลหนึ่งได้ เปรียบเทียบได้เช่นเดียวกันกับเวลาที่คุณส่งจดหมาย คุณสามารถเขียนอะไรลงไปก็ได้ที่หน้าซองตรงบริเวณที่อยู่ที่ให้จดหมายตีกลับ โดยที่จดหมายฉบับนั้นยังคงถึงมือผู้รับ (หากคุณเขียนที่อยู่ของผู้รับถูกต้อง)
 
อีเมล์หลอกลวง อีเมล์ไวรัส
           ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต ผู้ให้บริการโทรศัพท์ ธนาคารหรือแม้แต่สถาบันที่มีชื่อเสียงใดๆ ไม่มีการร้องขอให้ผู้ใช้บริการกรอกข้อมูลเกี่ยวกับชื่อบัญชีผู้ใช้และพาสเวิร์ด อีกทั้งยังไม่มีการส่งอีเมล์หรือโทรศัพท์เพื่อขอข้อมูลที่เป็นความลับ เช่น ชื่อบัญชี ผู้ให้บริการ จะไม่ร้องขอให้ผู้ใช้งานเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อแก้ไขข้อมูลต่างๆด้วยคอมพิวเตอร์ เมื่อใดก็ตามที่คุณได้รับคำร้องขอเช่นนี้ ขอให้สันนิษฐานได้เลยว่ามันคือโปรแกรมประสงค์ร้ายที่ถูกสร้างขึ้นโดยบุคคลที่สามที่พยายามที่จะขโมยข้อมูลในบัญชีผู้ใช้ของคุณ หนึ่งในโปรแกรมที่ไม่หวังดีนี้ คือ ฟิชชิ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรแกรมที่พบได้ทั่วไป สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้งานพึงจำเอาไว้นั่นคือ บริษัทที่มีชื่อเสียงเหล่านั้นมีข้อมูลของผู้ใช้หรือลูกค้าอยู่แล้วและไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องร้องขอข้อมูลจากผู้ใช้อีกครั้ง

อีเมล์ที่มีสิ่งที่แนบมาด้วย
           ผู้ใช้อีเมล์อาจเคยได้รับอีเมล์ที่มีสิ่งที่แนบมาด้วยจากเพื่อน ซึ่งมีข้อความว่า “เพื่อนคุณได้แนบลิงค์เกมที่สนุกมากๆ” หรือ สิ่งที่จำเป็น น่าสนใจหรืออื่นๆ คอมพิวเตอร์ที่ติดไวรัสสามารถที่จะแฮกเข้าบัญชีผู้ใช้อีเมล์และส่งอีเมล์ประเภทเดียวกันนี้ไปยังเพื่อนๆที่อยู่ในรายชื่อติดต่อของผู้ใช้งานได้เช่นเดียวกัน อีเมล์เหล่านี้ไม่ได้มาจากเพื่อน แต่มาจากไวรัสที่ติดอยู่ในระบบคอมพิวเตอร์ของเพื่อนนั่นเอง
ผู้ใช้ควรตรวจเช็คชื่อและที่อยู่ของผู้ส่งให้แน่ใจก่อนที่จะเปิดหรือคลิกลิงค์ที่แนบมากับอีเมล์ ซึ่งควรตรวจเช็คแบบเดียวกันนี้กับข้อมูลทุกประเภทที่ได้รับ ไม่เฉพาะไฟล์ที่มีนามสกุล .exe เพียงอย่างเดียว เพราะไวรัสสามารถติดมากับไฟล์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็น คลิปวีดิโอ รูปภาพ คลิปเสียง หรือไฟล์เอกสาร นอกจากนี้ควรเลือกใช้โปรแกรมแอนติไวรัสหรือตัวคัดกรองสแปมที่มาพร้อมกับโปรแกรมเพื่อดักจับอีเมล์อันตรายเหล่านี้ ซึ่งโปรแกรมของบางบริษัทจะมีการขึ้นเตือนทุกครั้งที่คุณดาวน์โหลดไฟล์ที่ติดเชื้อหรือโทรจัน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานไม่ควรไว้วางใจในโปรแกรมแอนติไวรัสหรือตัวคัดกรองสแปมมากจนเกินไป เพราะมันจะสามารถดักจับได้เพียงตัวไวรัสที่มันรู้จักเท่านั้น ดังนั้น มันจึงไม่สามารถปกป้องคอมพิวเตอร์จากไวรัสหรือโปรแกรมอันตรายที่มันไม่รู้จักได้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลว่าทำไมจึงควรอัพเดตโปรแกรมแอนติไวรัสและตัวกำจัดสแปมในเครื่องคอมพิวเตอร์อยู่เสมอ
          วิธีที่ปลอดภัยที่สุดในการป้องกันระบบคอมพิวเตอร์จากไวรัสที่ติดมากับไฟล์ที่แนบมาในอีเมล์ก็คือ อย่าเปิดไฟล์ที่แนบมาด้วย หากไม่แน่ใจว่ามันถูกส่งมาจากที่อยู่หรือแหล่งที่รู้จักและเชื่อถือได้
 
อีเมล์สามารถถูกดักอ่านได้เช่นเดียวกับการดักฟังโทรศัพท์
          อีเมล์จะเดินทางผ่านเซิร์ฟเวอร์มากมายก่อนที่จะถึงมือผู้รับในที่สุด ผู้ดูแลระบบเซิร์ฟเวอร์สามารถดูอีเมล์ของเรา ไม่ว่าจะเป็นหัวข้อ เนื้อหาหรือไฟล์ที่แนบมาด้วยได้ แม้ว่าเซิร์ฟเวอร์นั้นๆจะดูแลโดยผู้ให้บริการที่สามารถไว้ใจได้ เพราะระบบอาจถูกโจมตีโดยมัลแวร์หรือโดยลูกจ้างที่ไม่ซื่อสัตย์ หรือหน่วยงานของรัฐที่คอยฉวยโอกาสเรียกดูข้อมูลการติดสื่อสารส่วนตัวของประชาชน
เราสามารถรักษาความปลอดภัยอีเมล์ที่ถูกส่งออกไป เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกสกัดกั้นหรือถูกดักอ่านได้สองรูปแบบด้วยกันดังนี้ รูปแบบแรก ผู้ใช้งานต้องเลือกใช้เซิร์ฟเวอร์สำหรับส่งอีเมล์ที่มีการเปลี่ยนข้อความให้เป็นรหัส และรูปแบบที่สองคือ ผู้ใช้งานจะต้องเปลี่ยนข้อความให้กลายเป็นรหัสด้วยตนเอง เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นนอกเหนือจากผู้รับสามารถอ่านหรือเข้าใจเนื้อหาในอีเมล์ได้
 
การเข้ารหัสอีเมล์เพื่อป้องกันการล้วงข้อมูล  
           ผู้ใช้อีเมล์อาจใช้คีย์แพร์ (Key-Pair) ในการเข้ารหัสข้อมูลอีเมล์เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล โดยคีย์แพร์คือไฟล์สองไฟล์ที่อยู่แยกกันบนฮาร์ดดิสก์หรือบนยูเอสบี (USB) ผู้ใช้ต้องมีไฟล์นี้เมื่อต้องการที่จะทำการเข้ารหัสอีเมล์ หากไฟล์หรือคีย์แพร์นี้ถูกติดตั้งอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ผู้ใช้ก็จะไม่สามารถถอดรหัสอีเมล์บนเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่ทำงานได้ ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ ควรติดตั้งหรือเก็บไฟล์คีย์แพร์นี้เอาไว้บน USB  ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถถอดรหัสอีเมล์ที่ต้องการและเรียกใช้งานได้อย่างสะดวกมากยิ่งขึ้น
 คีย์แพร์นั้นประกอบไปด้วยคีย์ทั้งหมด 2 ชนิด ได้แก่ พับลิคคีย์ (Public Key) และซีเคร็ทคีย์ (Secret Key)
     พับลิคคีย์: เป็นไฟล์ที่ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้เป็นความลับ ผู้ใช้งานสามารถบอกหรือให้คีย์นี้แก่บุคคลอื่นๆ เพื่อที่พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถส่งอีเมล์ที่มีการเข้ารหัสมาหาผู้ใช้ได้
     ซีเคร็ทคีย์: ไฟล์นี้คือไฟล์ลับที่ผู้ใช้จะต้องใช้ในการถอดรหัสอีเมล์ที่บุคคลอื่นๆส่งมาให้ ดังนั้นผู้ใช้จึงไม่ควรบอกหรือมอบให้แก่บุคคลอื่น
           หากผู้ใช้มีเพื่อนร่วมงาน 5 คน และต้องส่งอีเมล์ถึงพวกเขาเหล่านั้น ผู้ใช้จำเป็นที่จะต้องทราบ    พับลิคคีย์ของพวกเขาแต่ละคนในการที่ส่งอีเมล์ไปหาพวกเขา โดยพวกเขาเหล่านั้นสามารถบอกพับลิคคีย์ของเขาโดยการส่งอีเมล์  หรือบอกกับผู้ใช้โดยตรงตัวต่อตัวหรือเขียนบอกเอาไว้บนเว็บไซต์ก็ย่อมได้ ตราบใดที่ผู้ใช้สามารถเชื่อได้ว่าพับลิคคีย์เหล่านั้นมาจากเพื่อนหรือจากคนที่ผู้ใช้ต้องการจะติดต่อสื่อสารด้วยจริงๆ เมื่อได้พับลิคคีย์ของพวกเขามาแล้วระบบซอฟต์แวร์จะทำการเก็บคีย์เหล่านี้ไว้ใน คีย์ริง (Keyring) และเมื่อผู้ใช้ทำการส่งอีเมล์ไปหาพวกเขาเหล่านั้น ระบบก็จะทำการจับคู่การเข้ารหัสที่ถูกต้องกับคีย์ของพวกเขาเพื่อให้อีเมล์นั้นไปถึงยังปลายทางหรือผู้รับที่ต้องการโดยปลอดภัย 

บริการต่าง ๆ ของอินเตอร์เน็ต

บริการต่าง ๆ ของอินเตอร์เน็ต

1. World Wide Web (WWW) เครือข่ายใยแมงมุม
          เป็นการเข้าสู่ระบบข้อมูลอย่างข้อมูลในรูปของ Interactive Multimedia คือ มีทั้งรูปภาพ ข้อความ ภาพเคลื่อนไหว เสียง และวีดีโอ อีกทั้งข้อมูลเหล่านี้ยังใช้ระบบที่เรียกว่า hypertext กล่าวคือ จะมีคำสำคัญหรือรูปภาพในข้อมูลนั้นที่จะช่วยให้ท่าน เข้าสู่รายละเอียดที่ลึกและกว้างขวางยิ่งขึ้น คำสำคัญดังกล่าวจะเป็นคำที่เป็นตัวหนา หรือขีดเส้นใต้ เพียง แต่ท่านเลือกกด ที่คำ ที่เป็นตัวหนาหรือขีดเส้นใต้ นั้น ๆ ท่านก็สามารถเข้าสู่ข้อมูลเพิ่มเติมได้ (ข้อมูลเหล่านี้จะมีผู้สร้างขึ้นมาและเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ ต่าง ๆ ทั่วโลก)


2. ไปรษณีย์อิเลคทรอนิคส์ (Electronic Mail หรือ E-Mail)
    เป็นบริการหนึ่งบนอินเทอร์เนตที่คนนิยมใช้กันมากคือส่งจดหมายโดยทางคอมพิวเตอร์ถึงผู้ที่มีบัญชีอินเตอร์เน็ต ด้วยกันไม่ว่าจะอยู่ใกล้หรือไกลคนละซีกโลกจดหมายก็จะไปถึงอย่างสะดวกรวดเร็วและง่ายดายโปรแกรมที่ใช้ ได้แก่
Hotmail  , YahooMail , ThaiMail และยังมี Mail ต่าง ๆ ที่ให้บริการอย่างมากมายในปัจจุบัน ตามหน่วยงานหรือ
องค์กรต่าง ๆ


วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2556

ภาษาแอสเซมบลี

ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language
ภาษาแอสเซมบลี (Assembly Language) หมายถึง ภาษาที่ใช้ในการเขียนโปรแกรมภาษาหนึ่งซึ่งจะทำงานโดยขึ้นกับรุ่นของไมโครโพรเซสเซอร์ หรือ "หน่วยประมวลผล" (CPU) ของเครื่องคอมพิวเตอร์
การใช้ภาษาแอสเซมบลีจำเป็นต้องผ่านการแปลภาษาด้วยคอมไพเลอร์เฉพาะเรียกว่า แอสเซมเบลอร์ (assembler) ให้อยู่ในรูปของรหัสคำสั่งก่อน (เช่น .OBJ) โดยปกติ ภาษานี้ค่อนข้างมีความยุ่งยากในการใช้งาน และการเขียนโปรแกรมเป็นจำนวนบรรทัดมากมากกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ภาษาระดับสูง เช่น ภาษา C หรือภาษา BASIC แต่จะทำให้ได้ผลลัพธ์การทำงานของโปรแกรมเร็วกว่า และขนาดของตัวโปรแกรมมีขนาดเนื้อที่น้อยกว่าโปรแกรมที่สร้างจากภาษาอื่นมาก จึงนิยมใช้ภาษานี้เมื่อต้องการประหยัดเวลาทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ และเพิ่มประสิทธิภาพของโปรแกรม
เนื่องจากตัวคำสั่งภายในภาษาอ้างอิงเฉพาะกับรุ่นของหน่วยประมวลผล ดังนั้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปใช้กับหน่วยประมวลผลอื่นหรือระบบอื่น (เช่น หน่วยประมวลผล x86 ไม่เหมือนกับ z80) จะต้องมีการปรับแก้ตัวคำสั่งภายในซึ่งบางครั้งอาจไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้อย่างสมบูรณ์
โครงสร้างของโปรแกรมภาษาแอสแซมบลี
ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักคือ
1.ลาเบล (Label) ใช้ในการอ้างถึงบรรทัดใดบรรทัดหนึ่งของโปรแกรมที่ทำการเขียนขึ้น
2. รหัสนีโมนิก (Mnemonic) เป็นส่วนแสดงคำสั่งของไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ต้องการให้กระทำ
3. โอเปอร์แรนด์ (Operand) เป็นส่วนที่แสดงถึงตัวกระทำหรือถูกกระทำและข้อมูลที่ใช้ในการกระทำตามคำสั่งที่กำหนดโดยรหัสนีโมนิกก่อนหน้านี้
4. คอมเมนต์ (Comment) เป็นส่วนที่ผู้เขียนโปรแกรมเขียนขึ้นเพื่อใช้ในการอธิบายคำสั่งที่กระทำ หรือผลของการกระทำคำสั่งในบรรทัดหรือโปรแกรมย่อยนั้นๆ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ผู้เขียนสามารถตรวจสอบโปรแกรมที่เขียนขึ้นได้ง่ายรวมถึงเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่นำโปรแกรมนั้นมาศึกษาใหม่อีกด้วย

ตัวอย่างโค้ดโปรแกรม
org 100h
; set video mode    
mov ax, 3     ; text mode 80x25, 16 colors, 8 pages (ah=0, al=3)
int 10h       ; do it!
; cancel blinking and enable all 16 colors:
mov ax, 1003h
mov bx, 0
int 10h
; set segment register:
mov     ax, 0b800h
mov     ds, ax
; print "hello world"
; first byte is ascii code, second byte is color code.
mov [02h], 'H'
mov [04h], 'e'
mov [06h], 'l'
mov [08h], 'l'
mov [0ah], 'o'
mov [0ch], ','
mov [0eh], 'W'
mov [10h], 'o'
mov [12h], 'r'
mov [14h], 'l'
mov [16h], 'd'
mov [18h], '!'
; color all characters:
mov cx, 12  ; number of characters.
mov di, 03h ; start from byte after 'h'
c:  mov [di], 11101100b   ; light red (1100) on yellow (1110)
    add di, 2 ; skip over next ascii code in vga memory.
    loop c
; wait for any key press:
mov ah, 0
int 16h
ret